เนปาลเป็น 1 ในสถานที่ที่สวยที่สุดในโลกที่น่าไปเยี่ยมเยือน มีกิจกรรมท่องเที่ยวให้เลือกมากมาย ไปครั้งเดียวก็ไม่พอ นอกเหนือจากความงามที่ยิ่งใหญ่และจุดหมายปลายทางสู่ธรรมชาติที่นับไม่ถ้วนแล้ว เนปาลยังมีสิ่งมหัศจรรย์อีกมากมายี่คุณอาจจะยังไม่รู้
- 1) เทือกเขาหิมาลัย (The Himalayas)
- ยอดเขาเอเวอเรสต์ (Mt. Everest) 8,848 เมตร
- ยอดเขา Kanchenjunga 8,586 เมตร
- ยอดเขา Lhotse 8,516 เมตร
- ยอดเขา Makalu 8,485 เมตร
- ยอดเขา Cho Oyu 8,201 เมตร
- ยอดเขา Dhaulagiri 8,167 เมตร
- ยอดเขา Manaslu 8,163 เมตร
- ยอดเขา Annapurna 8,091 เมตร
- 2) กองทหารกูรข่า (Gurkhas) – ยอดทหารนักรบและมีด “มีดคูกูริ” (Khukuri) คู่กาย
- 4) วัฒนธรรมและความหลากหลายทางชาติพันธุ์
- 5) มรดกโลกขององค์การยูเนสโก 7 แห่งในกาฐมาณฑุ
- 1) วัดปชุปฏินาฎ (Pashupatinath Temple)
- 2) จตุรัสกาฐมาณฑุ ดูร์บาร์ (Kathmandu Durbar Square)
- 3) จตุรัสภัคตะปูร์ (Bhaktapur Durbar Square)
- 4) จตุรัสปาฏัน ดูร์บาร์ (Patan Durbar Square)
- 5) วัดชางกูนารายัน (Changunarayan Temple)
- 6) เจดีย์สวยัมภูนาทหรือวัดลิง (Swayambhunath “The Monkey Temple”)
- 7) เจดีย์โพธินารถ (Boudhanath Stupa)
- ลุมพินี
- อุทยานแห่งชาติจิตวัน (Chitwan National Park)
- อุทยานแห่งชาติซาการ์มาธา (Sagarmatha National Park)
- 6) เยติ มนุษย์หิมะในตำนาน (Yeti – The Abominable snowman)
- 7) “กุมารี” เทพธิดาที่มีชีวิต (The Living Goddess Kumari)
- 8) สถานที่เกิดของพระพุทธเจ้า
- 9) สถาปัตยกรรมและอิทธิพลของ Arniko
- 10) ความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศเนปาล
และนี่ก็คือ 10 สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเทศเนปาล
1) เทือกเขาหิมาลัย (The Himalayas)
เทือกเขาหิมาลัยเป็นเทือกเขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีความยาวกว่า 3,500 กม. โดย 800 กม. อยู่ในประเทศเนปาล เทือกเขาที่แสนงดงามนี้ตั้งอยู่บนเขตพรมแดนธรรมชาติระหว่างเนปาลและทิเบต
ในบรรดายอดเขาหิมาลัย 31 ยอด ซึ่งมีความสูงมากกว่า 7,600 เมตร มี 22 ยอดอยู่ในประเทศเนปาล ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือเนปาลมียอดเขาที่สูงที่สุดในโลก 8 แห่งจาก 14 แห่งในโลก ดังนี้
ยอดเขาเอเวอเรสต์ (Mt. Everest) 8,848 เมตร
ด้วยความสูงตระหง่าน 8,848 เมตร ยอดเขาเอเวอเรสต์จึงเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก เปรียบเสมือนมงกุฎเพชรของเนปาล มีนักปีนเขามากกว่า 3,200 คนที่ปีนไปถึงยอดเขาได้สำเร็จ ซึ่งยอดเขานี้เป็นความฝันของผู้คนมากมายที่ต้องการพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก
เซอร์ เอ็ดมันด์ ฮิลลารี (Sir Edmund Hillary) และเชอร์ปา เทนซิง นอร์เกย์ (Sherpa Tenzing Norgay) เป็นกลุ่มคนแรกที่สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้ในปี 1953 ในแต่ละปีจะมีนักเดินทางมากกว่า 1 แสนคน เดินทางไปยังเขตคุมบู (Khumbu region) เพื่อไปชมเอเวอเรสต์ด้วยตาตัวเอง
ยอดเขา Kanchenjunga 8,586 เมตร
ยอดเขา Kanchenjunga เป็นยอดเขาที่สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก มีความสูง 8,586 เมตร และเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัยที่มีชื่อเสียง
ยอดเขา Lhotse 8,516 เมตร
ยอดเขา Lhotse เป็นยอดเขาที่สูงเป็นอันดับ 4 ของโลก มีความสูง 8,516 เมตร รองจากยอดเขาเอเวอเรสต์ K2 และ Kanchenjunga
ยอดเขา Makalu 8,485 เมตร
ยอดเขา Makalu เป็นยอดเขาที่สูงเป็นอันดับ 5 ของโลก มีความสูง 8,485 เมตร ถือเป็น 1 ในภูเขาที่ปีนไปถึงยอดเขาได้ยากที่สุดในโลก
ยอดเขา Cho Oyu 8,201 เมตร
ยอดเขา Cho Oyu เป็นยอดเขาที่สูงเป็นอันดับ 6 ของโลก มีความสูง 8,201 เมตร ตั้งอยู่บนเขตพรมแดนประเทศเนปาลและทิเบต
ยอดเขา Dhaulagiri 8,167 เมตร
ยอดเขา Dhaulagiri เป็นยอดเขาที่สูงเป็นอันดับ 7 ของโลก มีความสูง 8,167 เมตร ในเขตเทือกเขาหิมาลัยของเนปาล
ยอดเขา Manaslu 8,163 เมตร
ยอดเขา Manaslu เป็นยอดเขาที่สูงเป็นอันดับ 8 ของโลก มีความสูง 8,163 เมตร ในเขตเทือกเขาหิมาลัยของเนปาล
ยอดเขา Annapurna 8,091 เมตร
Annapurna เป็นภูเขาในเขตหิมาลัยที่มีขนาดใหญ่มหึมา สูงเป็นอันดับที่ 10 ของโลก มีความสูง 8,091 เมตร
2) กองทหารกูรข่า (Gurkhas) – ยอดทหารนักรบและมีด “มีดคูกูริ” (Khukuri) คู่กาย
“Better to die than be a coward”
ชื่อ “กูรข่า” ได้มาจากเมืองกอร์ข่า (Gorkha) ที่ชาวเนปาลได้ขยายอาณาจักรไป
ทหารกูรข่ามีชื่อเสียงที่น่าเกรงขามเกี่ยวกับความกล้าหาญที่ไม่มีใครเทียบได้ ความจงรักภักดี และมีมีดที่คมมาก คำว่า Gurkha และ Khukuri เป็นสิ่งคู่กัน ไม่สามารถแยกจากกันได้
ด้วยคำขวัญที่ว่า “Better to die than be a coward” (ยอมตายดีกว่าการเป็นคนขี้ขลาด) ชาวกูรข่าปกป้องประเทศเนปาลมาโดยตลอด เนปาลจึงไม่มีวันเฉลิมฉลองประกาศอิสรภาพเพราะไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของใครทั้งนั้น
ชาวเนปาลที่เข้าร่วมกองทัพอินเดียตะวันออกของอังกฤษหลังสงครามแอลโกล-เนปาล และต่อมาก็ได้เข้าร่วมกับกองทัพอังกฤษและอินเดีย ทำให้เป็นที่รู้จักกันในนามกองทหาร “กูรข่า”
อังกฤษยังคงมีศูนย์รับสมัครทหารกูรข่าในเนปาล ซึ่งอยู่ในเมืองโพครา (Pokhara) ทหารกูรข่าส่วนมากมาจากกลุ่มชนพื้นเมือง Rais, Limbus, Gurungs และ Magars แต่ก็มีทหารกูรข่าที่มาจากกลุ่มชนอื่นด้วยเช่นกัน ขั้นตอนการคัดเลือกทหารกูรข่าเป็นที่เลื่องลือว่าเป็นขั้นตอนที่ยากมากที่สุดในโลกและมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด เด็กหนุ่มที่ต้องการสมัครคัดเลือกต้องวิ่งทางชันขึ้นเขาเป็นระยะทางกว่า 40 นาที พ่วงด้วยการแบกตะกร้าหนักๆที่บรจุด้วยหินกว่า 70 กิโลกรัมอยู่บนหลัง
มีดคูกูริ (Khukuri) เป็นอาวุธประจำชาติเนปาล ทำมาจากเหล็กเกรดดีคุณภาพสูง โดยเฉลี่ยมีดคูกูริจะมีความยาวประมาณ 14-16 นิ้ว มีคมมีดที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นมีดที่นักรบกูรข่าได้ใช้ในการรบมาทั่วโลกกว่า 200 ปี
3) ธงชาติประเทศเนปาล
เนปาลเป็นประเทศเดียวในโลกที่ธงชาติไม่เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า แม้ว่าประเทศอื่นๆจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าก็ตาม ธงชาติเนปาลมีผ้าสามเหลี่ยมสีแดงเข้ม 2 ชิ้นติดกัน มีขอบสีน้ำเงิน และมีสัญลักษณ์พระจันทร์และพระอาทิตย์สีขาว
ธงชาติเนปาลมีแนวคิดมาจากเรขาคณิตและหลักการทางคณิตศาสตร์ที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญของเนปาล อัตราส่วนของธงคือ 3:4 สัญลักษณ์พระอาทิตย์และพระจันทร์หมายถึงสัญลักษณ์ของการมีอายุยืนยาวของประเทศและแสดงให้เห็นว่าประเทศเนปาลจะยังดำรงอยู่ในโลกตราบนานเท่าที่พระอาทิตย์และพระจันทร์ยังคงส่องแสงสว่างบนโลก นอกจากนี้พระจันทร์เป็นตัวแทนราชวงศ์ของเนปาล และพระอาทิตย์ 12 แฉกสะท้อนถึงราชวงศ์ราณา (Rana Dynasty) ของเนปาล ขอบสีน้ำเงินบนธงชาติเนปาลแสดงถึงสันติภาพ ความสงบสุข และความสามัคคี ในขณะที่สีแดงเข้มแสดงถึงสีของดอกไม้ประจำชาติและความกล้าหาญของชาวเนปาล
4) วัฒนธรรมและความหลากหลายทางชาติพันธุ์
ประเทศเนปาลเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเชื้อชาติ มีจารีตประเพณีและความแปลกใหม่มากมาย ตามที่กษัตริย์ Prithivi Narayan Shah ระบุว่าประเทศเนปาลเป็นจุดศูนย์รวมของ 4 วรรณะ และกลุ่มชาติพันธุ์ 36 กลุ่มที่ผู้คนอาศัยอยู่ในความสามัคคีและสันติสุขมาหลายศตวรรษ และมันคงไม่เกินจริงที่จะเรียกเนปาลว่าเป็นแหล่งหลอมรวมของเผ่าพันธุ์และชนเผ่าที่หลากหลาย ศิลปวัฒนธรรมและศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตชาวเนปาล ตามที่พวกเขาแสดงออกมาให้เห็นในหลากหลายรูปแบบ เช่น ศาสนา เทศกาล อาหาร เครื่องดื่ม ภาษา ดนตรี การเต้นรำเพลง ความเชื่อ วรรณกรรม และปรัชญา
ชาวทิเบต-พม่าจากทางเหนือ และชาวอินโด-อารยันจากทางใต้ เป็นกลุ่มใหญ่สองกลุ่มที่สืบทอดขนบธรรมเนียมประเพณีมากมายจากทั้งสองฝ่าย ชาวเชอร์ปาเป็นประชากรส่วนใหญ่ของดินแดนหิมาลัยที่สามารถเข้าถึงทิเบตเพื่อทำการค้าและการติดต่อสื่อสารการเข้าสังคมได้ ชาวเชอร์ปาได้รับอิทธิพลส่วนมากมาจากวัฒนธรรมและอารยธรรมของชาวทิเบต ผู้ที่มีวรรณะพราหมณ์ (Brahmins) และเชตทริส (Chettris) อาศัยอยู่ทั่วประเทศ โดยส่วนใหญ่ทำการเกษตร การเพาะปลูก และการเลี้ยงสัตว์ ส่วนชาวเนวาร์ (Newars) ซึ่งส่วนมากทำธุรกิจ จะอาศัยอยู่ในหุบเขากาฐมาณฑุและเมืองเล็กเมืองใหญ่อื่นๆทั่วประเทศ ชาวTamangs ชาว Rais ชาว Limbus และชาว Chepangs ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่แถบเนินเขาทางทิศตะวันออก ชาว Magars ชาว Gurungs และ ชาว Thakalis จะอาศัยอยู่ในพื้นที่เนินเขาตอนกลาง ซึ่งมีการเพาะปลูกพืชที่แตกต่างกัน และเลี้ยงสัตว์เพื่อเลี้ยงชีพ ส่วนพื้นที่ราบของประเทศจะมีชาว Tharus ชาว Yadavas ชาว Satar ชาว Rajvanshis และชาว Dhimals อาศัยอยู่เป็นหลัก แม้จะมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ ชาวเนปาลก็ยังเป็นตัวอย่างที่ดีของความสามัคคีปรองดองกัน
5) มรดกโลกขององค์การยูเนสโก 7 แห่งในกาฐมาณฑุ
ประเทศเนปาลมี มรดกโลกขององค์การยูเนสโกทั้งหมด 10 แห่ง และมรดกโลก 7 ใน 10 แห่งของประเทศเนปาลตั้งอยู่ในบริเวณเมืองกาฐมาณฑุ
มรดกโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO ในกาฐมาณฑุมีดังต่อไปนี้
1) วัดปชุปฏินาฎ (Pashupatinath Temple)
วัดปชุปฏินาฎเป็นหนึ่งในที่แสวงบุญที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้แสวงบุญชาวฮินดู ซึ่งเป็นที่สถิตย์ของพระศิวะ ตั้งอยู่ห่างจากสนามบินนานาชาติตรีภูวันในกาฐมาณฑุเพียงแค่ 3 กิโลเมตร
2) จตุรัสกาฐมาณฑุ ดูร์บาร์ (Kathmandu Durbar Square)
จตุรัสกาฐมาณฑุ ดูร์บาร์ หรือที่รู้จักกันในชื่อจตุรัสหนุมานโธคา (Hanuman Dhoka Square) ตั้งอยู่ใจกลางหุบเขากาฐมาณฑุ เป็น 1 ใน 3 อาณาจักรในยุคกลางของหุบเขากาฐมาณฑุ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยปกครองโดยกษัตริย์เนวารีมัลละ (Newari Malla) จัตุรัสดูร์บาร์ประกอบด้วยวัด พระราชวัง สนาม และรูปปั้นต่างๆ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17
3) จตุรัสภัคตะปูร์ (Bhaktapur Durbar Square)
ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองภัคตะปูร์ ที่นี่ประกอบด้วยวัดและสถานสำคัญที่ทางประวัติศาสตร์มากมาย นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของศิลปะยุคกลางของเนปาลที่ดีที่สุดอีกด้วย
4) จตุรัสปาฏัน ดูร์บาร์ (Patan Durbar Square)
เมืองปาฏันเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในหุบเขากาฐมาณฑุ เป็นที่รู้จักกันในชื่อลลิตปูร์ (Lalitpur) จตุรัสปาฏัน ดูร์บาร์ เป็น 1 ในสถานที่ท่องเที่ยวหลักของเมืองนี้ ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองกาฐมาณฑุไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ 8 กม. สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญบางแห่งของจัตุรัสปาฏัน ดูร์บาร์ ได้แก่ วัดกฤษณะ (Krishna Temple) วัดทอง (Golden Temple) พระราชวัง (Royal Palace) พิพิธภัณฑ์ (Museum) วัด Keshav Narayan และ Sundari Chowk
5) วัดชางกูนารายัน (Changunarayan Temple)
วัดชางกูนารายัน อยู่ในหมู่บ้าน Changu เชื่อกันว่าเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในหุบเขากาฐมาณฑุ ซึ่งสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 3 มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 1,600 ปี มีโบราณวัตถุในวัดคือหินแกะสลักจากศตวรรษที่ 5 ซึ่งนับว่าเป็นการค้นพบที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศเนปาล
6) เจดีย์สวยัมภูนาทหรือวัดลิง (Swayambhunath “The Monkey Temple”)
สวยัมภูนาท เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากอีกแห่งของประเทศเนปาล เหมาะกับการมาเยี่ยมชมในช่วงพระอาทิตย์ตก เรียกอีกอย่างว่าวัดลิงเนื่องจากมีลิงจำนวนมากอยู่รอบบริเวณวัด
7) เจดีย์โพธินารถ (Boudhanath Stupa)
เจดีย์โพธินารถเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียใต้ สูง 36 เมตร มีโครงสร้างสไตล์มันดาลาสามชั้นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นเจดีย์พุทธนิกายมหายานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
แหล่งมรดกโลกอื่นๆในเนปาลที่ไม่ได้อยู่ในบริเวณหุบเขากาฐมาณฑุ
ลุมพินี
เป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า และเป็นจุดหมายปลายทางของนักแสวงบุญและนักเดินทางหลายพันคนทุกๆปี
อุทยานแห่งชาติจิตวัน (Chitwan National Park)
อุทยานแห่งชาติจิตวันเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหายาก เช่น แรดเขาเดียว เสือเบงกอล และนกอีกหลายชนิด รวมทั้งนกเงือกยักษ์ สถานที่ท่องเที่ยวนี้จะให้ประสบการณ์ที่ตื่นเต้นและได้เจอสัตว์ป่าที่ไม่เหมือนที่ไหน
อุทยานแห่งชาติซาการ์มาธา (Sagarmatha National Park)
อุทยานแห่งชาติซาการ์มาธาครอบคลุมพื้นที่ 1,148 ตารางกิโลเมตร เป็นแหล่งรวมสัตว์พันธุ์หายาก เช่น เสือดาวหิมะ กวางมัสค์ และแพนด้าแดง เป็นพื้นที่คุ้มครองในเทือกเขาหิมาลัย มีภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ เส้นทางสู่หุบเขาอันเขียวชอุ่ม เส้นทางเดินเขา และยอดเขาเอเวอเรสต์
6) เยติ มนุษย์หิมะในตำนาน (Yeti – The Abominable snowman)
“เยติ” หรือที่รู้จักกันว่า “มนุษย์หิมะ” เป็นสัตว์ในตำนานที่กล่าวกันว่า เดินอยู่ตามเทือกเขาหิมาลัย เล่ากันว่าเยติมีน้ำหนักระหว่าง 91-181 กิโลกรัม และมีขนสีน้ำตาลแดงหรือเทาเข้ม
เป็นสัตว์สองเท้าลึกลับที่อาศัยอยู่ในดินแดนที่มีหิมะปกคลุมชั่วนิรันดร์ เชื่อกันว่าเยติจะเดินตัวตรงด้วยเท้าเปล่าสองข้าง โดยทิ้งร่องรอยไว้บนหิมะ และมีชาวเขาหลายคนที่ได้พบเห็นรอยเท้าใหญ่โตบนเทือกเขาหิมาลัยในเนปาล
แม้จะมีการสำรวจหลายครั้งหลายคราวในภูมิภาคที่มีหิมะปกคลุมของรัสเซีย จีน และเนปาล แต่การมีอยู่ของเยติยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
แม้แต่เซอร์ เอ็ดมันด์ ฮิลลารีเองก็นำทีมสำรวจออกตามหาเยติในปี 1958 การขาดหลักฐานที่เป็นรูปธรรมแม้จะมีการค้นหามานานหลายทศวรรษทำให้ต้องสรุปว่าเยติเป็นสิ่งมีชีวิตที่หายากและลึกลับไม่ว่าจะเป็นของจริงหรือในตำนาน
7) “กุมารี” เทพธิดาที่มีชีวิต (The Living Goddess Kumari)
“กุมารี” เป็นคำภาษาเนปาลที่มีความหมายตามตัวอักษรว่า “เทพธิดาบริสุทธิ์” เป็นเทพีที่มีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวที่ชาวฮินดูและชาวพุทธบูชา เชื่อกันว่ากุมารีเป็นร่างที่สถิตย์ของเทพธิดาทาเลจู มีพลังแห่งความสุขุม ประทานพรให้คนหายป่วย ให้ความปรารถนาเป็นจริง ปกป้องคุ้มครองให้ปลอดภัย และประทานพรให้มีความมั่งคั่ง กุมารีจะแต้มติกะ (tika) สีแดงบนหน้าผากเรียกว่า “ภริคุ (bhrigu)” ซึ่งเป็นตัวแทนของพลังจักรวาลของโลก ติกะที่สว่างและเปล่งประกายที่สุดนี้เป็นเครื่องหมายแห่งความเจริญรุ่งเรืองและอนาคตที่สดใสของประเทศ
มีกุมารี 11 องค์ในเนปาล ซึ่งถูกเลือกตามเมืองต่างๆ เพื่อปกป้องเมืองจากพลังความชั่วร้าย องค์กุมารีที่สำคัญที่สุด 3 องค์อยู่ที่เมือง Patan, Bhaktapur และ Kathmandu ได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพธิดาที่มีชีวิต เด็กสาวชาวเนวาร์ที่ไม่มีตำหนิจะได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของเทพธิดากุมารีในฐานะร่างอวตารของเทพธิดาทาเลจู เทพธิดาที่มีชีวิตได้รับการบูชาด้วยความเคารพอย่างสูงและแม้แต่ราชาก็ปฏิบัติตามประเพณีการรับ tika และพรจากองค์กุมารี กุมารีไม่ควรสูญเสียเลือดสักหยดจากร่างกายและอยู่ในช่วงก่อนมีการเจริญวัย หลังจากที่กุมารีเข้าสู่วัยรุ่นและเริ่มมีประจำเดือนครั้งแรกการค้นหากุมารีองค์ใหม่จะเริ่มต้นขึ้น
กุมารีหลวงจะอาศัยอยู่ในวิหารที่ทำจากไม้และกระเบื้อง 3 ชั้นอันงดงาม เรียกว่า Kumari Chhen หรือ Kumari Ghar ที่ใช้ประกอบพิธีกรรมในแต่ละวัน วิหารนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของ Basantapur Durbar Square ซึ่งเป็นจุดที่นิยมของนักท่องเที่ยว ในทุกๆวันจะเห็นชาวต่างชาติมาเยี่ยมชมที่นี่มากมาย
กุมารีจะถูกเลือกตั้งแต่อายุยังน้อยจน 3 ขวบ และต้องออกจากบ้านพ่อแม่จนกว่าจะมีกุมารีอื่นมาแทนที่เธอ เด็กหญิงจะอยู่โดยไม่มีพ่อแม่ตั้งแต่อายุยังน้อย และยิ่งไปกว่านั้นพ่อแม่ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปเยี่ยมลูกสาวของพวกเขา และจะได้เห็นก็ต่อเมื่อกุมารีปรากฏตัวในโอกาสพิเศษประมาณ 13 ครั้งต่อปี ปัจจุบันบ้านกุมารีมีครูสอนพิเศษส่วนตัวและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการศึกษา และเข้าร่วมการสอบระดับชาติภายใต้การดูแลในพระราชวัง
8) สถานที่เกิดของพระพุทธเจ้า
เจ้าชายสิทธัตถะ พระพุทธเจ้าประสูติเมื่อ 623 ปีก่อนคริสตกาล ในลุมพินี สวนอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก มีพยานหลักฐานโดยการจารึกบนเสาอโศกบริเวณพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า
ลุมพินี เป็นแหล่งมรดกโลกที่ดึงดูดนักเดินทางและผู้ที่นับถือศรัทธาหลายพันคน ซึ่งมีความเชื่อและศาสนาที่แตกต่างกัน ท่ามกลางซากปรักหักพังของโบราณสถาน สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าถูกรักษาอยู่ภายในวัดมายาเทวีในลุมพินี นอกจากนี้ยังมีวัดและเจดีย์จำนวนมากที่สร้างขึ้นโดยประเทศต่างๆทั่วโลกในงานรำลึกถึงพระพุทธเจ้า เช่น วัดทองอันงดงามของพม่า วัด Phat Quoc Tu เจดีย์ของเวียดนามที่มีมังกรอยู่บนหลังคา พระอารามหลวงหินอ่อนสีขาวอันหรูหราของไทย และเจดีย์ดอกบัวของเยอรมนี เมื่อคุณมาเยือนที่แห่งนี้คุณจะมีความรู้สึกสงบอย่างอธิบายไม่ถูกด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมพุทธผสมผสาน
ถึงแม้ว่าคนส่วนมากในเนปาลจะเป็นชาวฮินดู แต่ศาสนาพุทธก็เข้ามามีอิทธิพลในหลายๆด้านของวัฒนธรรมเนปาล เช่น การที่ชาวฮินดูและชาวพุทธสามารถเข้าวัดแห่งเดียวกันได้เพื่อสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีตัวอย่างคือวัดมุกตินาถ (Muktinath) เป็นสถานที่ที่ทั้งชาวฮินดูและชาวพุทธต่างก็นับว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเดินทางมาเพื่อเป็นสิริมงคล ในเนปาลมีทั้งผู้ที่นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายานและเถรยาน และมีวัดพุทธมากกว่า 1,200 แห่งทั่วประเทศ บางแห่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 2,000 ปี
9) สถาปัตยกรรมและอิทธิพลของ Arniko
อาร์นิโกะ (Arniko) สถาปนิกชื่อดังชาวเนปาล ซึ่งเป็นผู้ที่สร้างผลงานทั้งในเนปาล จีน อินโดนีเชีย และหลายแห่งในเอเชีย เขาเกิดในเมืองกาฐมาณฑุ และเชื่อกันว่ามาจากชุมชนชาวเนวาร์ในเมืองปาฏัน ซึ่งคาดเดาจากสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ที่เห็นอยู่ในการออกแบบทั้งด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และจิตรกรรม Arniko ได้รับการกล่าวขานนว่าเป็นอัจฉริยะทางด้านศิลปะหลายแขนง
ในปี 1260 Arniko ได้เป็นหัวหน้าสถาปนิกที่ดูแลงานสร้างในเขตพระราชฐานของ Kublai Khan ในประเทศจีน ผลงานทางศิลปะของเขาได้รับคำชื่นชมไปทั่วประเทศ ผลงานทางสถาปัตย์ต่างๆของเขาทั้งเจดีย์ วัด สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ยังได้แสดงถึงลักษณะพิเศษของสไตล์เนปาลออกมาอย่างเด่นชัดอีกด้วย
10) ความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศเนปาล
เนปาลมีพันธุ์พืชและสัตว์ป่านานาชนิดที่หลากหลาย และเป็นพันธุ์หายาก ประเทศเนปาลถูกกล่าวขานว่าเป็นอเมซอนแห่งเอเชีย นักสัตววิทยาเชื่อว่าความร่ำรวยทางชีวภาพของประเทศเนปาล ยังไม่ได้รับการค้นพบอย่างเต็มที่
ประเทศเนปาลมีกล้วยไม้มากกว่า 360 ชนิด ซึ่งคิดเป็น 2% ของกล้วยไม้ในโลก และคิดเป็น 6% ของสายพันธุ์กุหลาบพันปี และยังมีสัตว์ป่ามากกว่า 30 ชนิด นกกว่า 800 สายพันธุ์ ผีเสื้อกว่า 650 สายพันธุ์ และแมลงกว่า 6,000 ประเภท นอกจากนั้นยังมีทั้ง แรดป่า เสือเบงกอล จระเข้ เสือดาวหิมะ แพนด้าแดง กวางดำหิมาลัย และมีสัตว์ป่าสายพันธุ์แปลกมากมายที่พบเจอไดในป่าของเนปาล
ทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของการท่องเที่ยวในประเทศเนปาล หน่วยงานที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่านี้ จะมีทั้งอุทยานแห่งชาติจิตวัน อุทยานแห่งชาติซาการ์มาธา อุทยานแห่งชาติบาร์เดีย และอุทยานอื่นๆอีกหลายแห่งที่คุณจะสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวแบบซาฟารีได้ โดยมีบริการทั้งซาฟารีโดยรถจี๊ปหรือการขี่ช้างท่องป่า ความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติที่สวยงามนี้ ทำให้เนปาลเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติ