ในประเทศเนปาลยุคปัจจุบันนี้ การแต่งงานมากกว่า 80% ยังเป็นงานแต่งงานที่เกิดขึ้นจากจัดการของผู้ใหญ่ทั้งสองครอบครัว
แท้ที่จริงแล้ววัฒนธรรมการคลุมถุงชนนี้ มีรากฐานมาจากระบบชนชั้นวรรณะหรือ Caste System ซึ่งฝังรากลึกอยู่ในสังคมเนปาลมาจนถึงปัจจุบัน
หญิงและชายที่จะถือว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกัน จะต้องมีพื้นฐานทางสัมคมหรือชนชั้นที่ใกล้เคียงกัน การศึกษา หน้าที่การงาน ฐานะ ศาสนาและความเชื่อแบบเดียวกัน เนื่องจากผู้ใหญ่จะมีความเชื่อว่า หากคนสองคนมีพื้นฐานที่ใกล้เคียงกัน ความคิดความเชื่อแบบเดียวกัน จะสามารถรักกันได้ไม่ยาก
เหตุผลหลักอีกเหตุผลหนึ่ง อาจจะเนื่องมาจากการที่เนปาลยังเป็นสังคมที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม การที่หนุ่มสาวรักกันเองและเดทกันในที่สาธารณะ อาจจะยังไม่เป็นเรื่องที่ยอมรับกันโดยทั่วไป จึงทำให้การพัฒนาความสัมพันธ์ที่เกิดจากความรักเป็นไปได้ยากและไม่เปิดเผย
คนต่างชาติอาจจะมองว่านี่คือการลิดรอนสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานหรือการบังคับจิตใจ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การแต่งงานแบบนี้เป็นเพียงจัดหาคู่ที่เหมาะสมโดยผู้ใหญ่ในครอบครัวทั้งสองฝ่ายจัดให้มีการดูตัวและรู้จักกันก่อน และการแต่งงานจะไม่เกิดขึ้นเลยหากทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอมพร้อมใจ
ถึงแม้ว่าชาวเนปาลส่วนมากจะยืนยันหนักแน่นว่าการจัดหาคู่ครองโดยผู้ใหญ่ ไม่ใช่การบังคับจิตใจ เพราะทั้งสองฝ่ายต้องตกลงใจกันก่อน แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีให้เห็นมากมายที่ผู้ใหญ่ไม่อนุญาตให้บุตรหลานแต่งงานกับคนที่รัก เนื่องจากความแตกต่างทางสังคม หรือแม้กระทั่งการที่พ่อแม่ขู่จะไม่ยกสมบัติให้ หากลูกไม่แต่งงานกับคนในชนชั้นเดียวกัน
หลายๆคนที่สนับสนุนวัฒนธรรมนี้บอกว่า Love Marriage หรือการแต่งงานด้วยความรักก็มีกรณีมากมายที่สุดท้ายต้องหย่าร้างและจบไม่สวย ในขณะที่ Arranged Marriage ที่เห็นกันอยู่ในสังคมมากมาย ก็สามารถทำให้คนหลายต่อหลายคู่รักกันยืนยาวและมีลูกหลานสืบต่อไป
ในประเทศไทย ค่านิยมของการคลุมถุงชนลดน้อยลงเรื่อยๆจนแทบจะไม่มีให้เห็นในสังคมโดยเฉพาะเมืองใหญ่ๆ ซึ่งเป็นข้อดีที่แสดงให้เห็นถึงสิทธิเสรีภาพในการที่จะเลือกคนรักและคู่ครองของตนเอง แต่ในอีกมุมหนึ่ง การที่คนไทยแต่งงานน้อยลง ไม่ต้องการมีครอบครัว หรือแม้กระทั่งหาคนรักเองไม่ได้ อาจจะส่งผลต่อโครงสร้างประชากรในอนาคต ทั้งในแง่จำนวนประชากร และสังคมผู้สูงวัยที่ไม่มีครอบครัวคอยดูแล
หากมองในหลายแง่มุม การที่ผู้ใหญ่จัดการหาคู่ครองให้แบบในเนปาล ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย แล้วแต่ว่าใครจะมองในมุมไหน
แต่อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ก็เป็นความเชื่อและวัฒนธรรมของคนในสังคมที่สืบทอดกันมายาวนาน เรื่องแบบนี้ ไม่มีใครถูกใครผิด อยู่ที่ว่าในสถานการณ์แบบนั้น สังคมตรงนั้น อะไรคือสิ่งที่เหมาะสมสำหรับแต่ละคนมากกว่า
